ทำความเข้าใจรายได้จากโฆษณาแบบขายตรงและแบบเป็นโปรแกรม
วิธีต่างๆ ในการขายโฆษณา ตั้งราคา เสนอขายกับผู้ลงโฆษณา และสื่อสารผลลัพธ์
ฉันจะขายโฆษณาของฉันได้อย่างไร
ผู้เผยแพร่เนื้อหาส่วนใหญ่ขายโฆษณาแบบขายตรงและแบบเป็นโปรแกรม
ในการขายตรง คุณจะขาย จัดการ และทำแคมเปญให้สำเร็จกับผู้ลงโฆษณาโดยไม่มีบุคคลที่สาม การขายตรงให้สิ่งต่อไปนี้แก่คุณ
- การควบคุมโฆษณาที่แสดงในเว็บไซต์ของคุณได้โดยตรง
- ความสัมพันธ์กับผู้ลงโฆษณาที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
- การขายพื้นที่โฆษณาได้ในราคาที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย
ในการขายแบบเป็นโปรแกรม คุณขายโฆษณาผ่านเทคโนโลยีอัตโนมัติที่ขาย จัดการ และดำเนินการแคมเปญให้แก่คุณ การขายแบบเป็นโปรแกรมให้สิ่งต่อไปนี้แก่คุณ
- การขายอัตโนมัติจะอิงตามข้อมูลต่างๆ เนื้อหา พฤติกรรมผู้อ่าน และข้อมูลประชากร เป็นต้น
- ความสามารถในการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดต่อกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมและอัตราการคลิกผ่าน (CTR)
- การเข้าถึงผู้ลงโฆษณาหลายพันรายแบบเรียลไทม์และในแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้คุณได้รับราคาประมูลสูงสุด
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำ: เลือกประเภทโฆษณา ขนาด และตำแหน่งโฆษณาต่างๆ ที่แนะนำโดยมาตรฐานโฆษณาที่ดีกว่า ซึ่งระบุโฆษณาที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด
ฉันจะเลือกอย่างไรว่าโฆษณาใดควรขายตรงหรือโฆษณาใดควรขายแบบเป็นโปรแกรม
โดยเฉลี่ยแล้ว โฆษณาแบบขายตรงจะขายได้ราคาสูงกว่าโฆษณาแบบเป็นโปรแกรม 2-4 เท่า โฆษณาแบบขายตรงมี CPM (ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง) เฉลี่ยอยู่ที่ $10-20 ในขณะที่โฆษณาแบบเป็นโปรแกรมจะมี CPM เฉลี่ยอยู่ที่ $1-5
💡แนวทางปฏิบัติแนะนำ: เพิ่มรายได้ให้สูงขึ้นด้วยการขายพื้นที่โฆษณาแบบขายตรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (เป็นการเพิ่มอัตราการขายผ่านโดยตรง) และการขายพื้นที่โฆษณาที่เหลือผ่านการขายแบบเป็นโปรแกรม
คุณอาจจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่โฆษณาได้ดังนี้
- การขายตรง
- ดีลที่ต้องการและดีลที่รับประกันการแสดงผลแบบเป็นโปรแกรม
- การประมูลส่วนตัวแบบเป็นโปรแกรม
- การประมูลแบบเปิดแบบเป็นโปรแกรม
โดยค่าเริ่มต้น ผู้เผยแพร่เนื้อหาที่ใช้ AdSense จะได้รับประโยชน์จากการจัดสรรแบบไดนามิก ซึ่งสามารถให้ราคาสูงสุดสำหรับโฆษณาของคุณโดยการอนุญาตให้ผู้ลงโฆษณาแข่งขันแบบเรียลไทม์กับผู้ลงโฆษณาแบบรับประกันการแสดงผล
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำ: ใช้ราคาของแต่ละประเภทโฆษณาเพื่อจัดลำดับความสำคัญว่าจะขายโฆษณาแบบขายตรงหรือขายแบบเป็นโปรแกรม
ตั้งราคา
ฉันจะกำหนดราคาในการขายตรงได้อย่างไร
ในการขายตรง ให้ระบุราคาในเรตการ์ด ซึ่งใช้สำหรับแสดงพื้นที่โฆษณาและราคา
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำ
- ทำการวิจัยตลาด เช่น เพื่อดูว่าเรตการ์ดของสื่อเผยแพร่ในพื้นที่รายอื่นรวมอะไรไว้บ้าง
- ปรับราคาโดยอิงตามขนาดของกลุ่มเป้าหมาย การเข้าถึง และแบรนด์ของคุณ
- ตั้งราคาที่สูงขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงซึ่งมีส่วนร่วมในโฆษณาประเภทต่างๆ เช่น วิดีโอ
ฉันจะกำหนดราคาขายแบบเป็นโปรแกรมได้อย่างไร
ในการขายแบบเป็นโปรแกรม ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้งที่ตั้งไว้ (CPM) คือราคาเฉลี่ยที่คุณต้องการในการขายโฆษณา และคุณยังตั้งราคาพื้น ซึ่งเป็น CPM ขั้นต่ำในการขายโฆษณาได้อีกด้วย
จัดการการกำหนดราคาสำหรับแหล่งที่มาโดยอ้อมทั้งหมดของดีมานด์ได้จากที่เดียวโดยใช้กฎการกำหนดราคาแบบรวม ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่คุณสามารถกำหนดสำหรับราคาพื้น, CPM เป้าหมาย, โฆษณาประเภทต่างๆ ฯลฯ ได้
- ใน Google Ad Manager ให้ไปที่พื้นที่โฆษณา > กฎการกำหนดราคา
- เลือกกฎการกำหนดราคาแบบรวมใหม่ และป้อนชื่อ
- ในการกำหนดเป้าหมาย ให้เลือกหน่วยโฆษณา
- ในการกำหนดราคา ให้เลือกราคาสำหรับรายการที่เจาะจง หรือกำหนดราคาเดียวกันสำหรับผู้ลงโฆษณา แบรนด์ ขนาด ครีเอทีฟโฆษณาประเภทต่างๆ ฯลฯ และคุณยังกำหนดราคาพื้น, CPM เป้าหมาย หรือให้ Google ปรับราคาให้เหมาะสมได้อีกด้วย
- คลิกบันทึก
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำ
- กำหนด CPM เป้าหมายแทนราคาพื้น ซึ่งจะสร้างรายได้เพิ่มเติมได้
- ตั้งค่ากฎการกำหนดราคาเพื่อกำหนดราคาที่แตกต่างกันสำหรับขนาด ประเภทครีเอทีฟโฆษณา ตัวเลือกวิดีโอ และอื่นๆ
- ระบุการกำหนดราคาสำหรับผู้ลงโฆษณา แบรนด์ หรือขนาดที่เจาะจง
เสนอขายกับผู้ลงโฆษณาด้วยชุดสื่อ
ชุดสื่อคืออะไร
ชุดสื่อคือเอกสารทางการตลาดที่คุณสามารถใช้เพื่อเสนอขายกับผู้ลงโฆษณาแบบขายตรง
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำเพื่อสร้างชุดสื่อ
- เริ่มต้นด้วยการบอกเหตุผลที่ทำให้ผู้ลงโฆษณาอาจอยากร่วมงานกับคุณ และการทำงานกับคุณจะช่วยให้ผู้ลงโฆษณาบรรลุเป้าหมายของตนได้อย่างไร
- แนะนำองค์กรและกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ใส่สถิติ ตัวเลข และข้อมูลประชากรเพื่อให้เข้าใจถึงการมีส่วนร่วมของผู้อ่านกับเว็บไซต์ข่าวของคุณรวมถึงตัวตนบนโซเชียลของเว็บไซต์ข่าวดังกล่าว โดยคุณคุณสามารถรวมข้อมูลต่อไปนี้
- ขนาดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงสมาชิกแบบชำระเงิน หากมี
- การรายงานข่าวตามภูมิศาสตร์
- การรายงานข่าวตามหัวข้อ
- จำนวนการดูหน้าเว็บต่อเดือน
- การมองเห็นโฆษณา
- จำนวนหน้าต่อการเข้าชมหรือระยะเวลาการเข้าชม
- ยอดเข้าชมต่อเดือน
- แชร์ไอเดียว่าจะลงโฆษณาในเว็บไซต์ของคุณอย่างไรได้บ้าง เช่น คุณอาจให้แบบจำลองตำแหน่งโฆษณา ซึ่งจะช่วยให้คุณและผู้ลงโฆษณามีข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการพูดคุย
- ใส่เรตการ์ดและข้อมูลติดต่อ
ทำแคมเปญโฆษณาที่ประสบความสำเร็จ
- ตั้งค่าการเรียกเก็บเงินลูกค้า วันที่ของแคมเปญ ชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณา แท็กโฆษณา และการติดตาม
- แชร์รายงานรายสัปดาห์หรือรายเดือนเกี่ยวกับการแสดงผล การคลิก และอัตราการคลิกผ่าน
- ส่งใบแจ้งหนี้ขั้นสุดท้ายและรายงานที่มีรายละเอียดพื้นที่โฆษณา (ประเภท ขนาด และตำแหน่งโฆษณา), การแสดงผลโฆษณา, CPM และต้นทุนทั้งหมด
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำ
- ตั้งค่าการติดตามเพื่อรวมไว้ในรายงานแคมเปญ
- ทดสอบหน้าต่างๆ ในอุปกรณ์หลายประเภทเพื่อดูว่าโฆษณาปรากฏอย่างไร
- ออกรายงานว่าแคมเปญดำเนินไปตามเป้าหมายของผู้ลงโฆษณาอย่างไรในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน
- แท็กหน้าด้วยแท็กผู้เผยแพร่โฆษณาผ่าน Google
ลงทุนในความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ลงโฆษณา
เมื่อคุณทำแคมเปญโฆษณาแรกแล้ว ให้เปลี่ยนผู้ลงโฆษณาขาจรเป็นผู้ลงโฆษณาขาประจำ
การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ลงโฆษณาจะช่วยคุณในเรื่องต่อไปนี้ได้
- เพิ่ม CPM
- เพิ่มอัตราการขายผ่าน หรือช่วยให้คุณคาดการณ์ได้มากขึ้น
- มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการเติมโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการรายงานข่าวของคุณมีข่าวด่วนรวมอยู่
- รับรายได้จากโฆษณาอย่างเชื่อถือได้มากขึ้นโดยมีการคาดการณ์ไม่ได้น้อยลง
💡 แนวทางปฏิบัติแนะนำ
- นำเสนอรายงานขั้นสุดท้ายของแคมเปญกับผู้ลงโฆษณาโดยไฮไลต์เป้าหมายของผู้ลงโฆษณา
- ทำหน้าที่เป็นพาร์ทเนอร์ทางความคิด และแชร์ข้อมูลว่าผู้ลงโฆษณาจะบรรลุเป้าหมายการโฆษณาของตนโดยทำงานร่วมกับคุณได้อย่างไร
- แชร์โอกาสในการขยายกลุ่มเป้าหมาย
- เสนอดีลระยะเวลาหลายปี
- เสนอการขายตรงแบบเป็นโปรแกรม เพื่อให้ผู้ลงโฆษณาซื้อโฆษณาของคุณแบบเป็นโปรแกรมได้ในราคาที่ต้องการ
- เข้าถึงเชิงรุกและตามระยะเวลาที่กำหนด
- เตรียมข้อมูลความพร้อมใช้งานล่าสุดของพื้นที่โฆษณาไว้ให้เรียบร้อยโดยใช้ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ฟีเจอร์การคาดการณ์พื้นที่โฆษณา
-
เพิ่มการเข้าชมด้วยการแชร์ผ่านโซเชียล
บทเรียนเริ่มใช้ประโยชน์จากโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ -
-